เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 3



ประวัติพระโกณฑธานเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 3 (เรื่องพระโกณฑธานะ) ดังต่อ
ไปนี้.
ด้วยบทว่า ปฐมสลากํ คณฺหนฺตานํ พระศาสดาทรงแสดงว่า
พระโกณฑธานเถระ. เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จับสลากได้ก่อน
ภิกษุอื่นทั้งหมด
ได้ยินมาว่า พระเถระนั้นเมื่อพระตถาคตเสด็จไปอุคคนคร
ในวันที่นางมหาสุภัททานิมนต์ เมื่อภิกษุบอกกล่าวว่า วันนี้พระ-
ศาสดาจักเสด็จภิกขาจารไกล ภิกษุปุถุชนอย่าจับสลาก พระขีณาสพ
500 รูปจงจับ, ก็บันลือสีหนาทจับสลากได้ที่ 1 ทีเดียว เมื่อพระ-
ตถาคตเสด็จไปเมืองสาเกตในวันที่นางจุลลสุภัททานิมนต์ ก็จับ
สลากได้เป็นที่ 1 เหมือนกัน ในระหว่างภิกษุ 500 รูป, แม้ใน
คราวเสด็จไปยังชนบทสุนาปรันตปะก็เหมือนกัน ด้วยเหตุเหล่านี้
พระเถระจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จับสลากได้ที่ 1 อนึ่ง
คำว่ากุณฑธาน เป็นชื่อขอท่าน ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่อง
ที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้ :-
ได้ยินว่า ครั้งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระเถระนี้บังเกิดใน
เรือนของครอบครัวกรุงหงสวดี ไปวิหารฟังธรรมโดยนัยดังกล่าว
แล้วนั่นแหละ เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง

เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้จักสลากได้ที่ 1 จึงการทำกุศลกรรมแด่
พระพุทธเจ้าปรารถนาตำแหน่งนั้น ผู้อันพระศาสดาทรงเห็นว่าหา
อันตรายมิได้จึงพยากรณ์แล้วบำเพ็ญกุศลตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าก็บังเกิดเป็นภุมมเทวดา.
ก็ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน มิได้ทำอุโบสถ
ทุกกึ่งเดือน. คือพระวิปัสสีทศพลในระหว่าง 6 ปี จึงมีอุโบสถ
ครั้งหนึ่ง ส่วนพระกัสสปทศพลทรงให้สวดพระปาฏิโมกข์ทุก ๆ
6 เดือน ในวันสวดปาฏิโมกข์นั้น ภิกษุ 2 รูปผู้อยู่ในทิศมาด้วย
จงใจว่า จะกระทำอุโบสถ. ภุมมเทวดานี้คิดว่าความมีไมตรีของ
ภิกษุ 2 รูปนี้มั่นคงเหลือเกิน เมื่อมีคนทำให้แตกแยกกัน ท่าน
จะแตกกันหรือไม่แตกกันหนอ จึงคอยหาโอกาสของภิกษุทั้งสองนั้น
เดินไปใกล้ ๆ ภิกษุทั้งสองนั้น. ครั้งนั้นพระเถระรูปหนึ่งฝากบาตร
และจีวรไว้กับพระเถระอีกรูปหนึ่ง ไปยังที่ มีความผาสุกด้วยน้ำ
เพื่อชำระล้างสรีระ ครั้งล้างมือล้างเท้าแล้วก็ออกมาจากร่มไม้
ที่ถูกใจ. ภุมมเทวดาแปลงเป็นหญิงมีรูปร่างงามอยู่ข้างหลังพระเถระ
นั้น จึงทำให้เสมือนผมยุ่งแล้วจัดผมเสียใหม่ ทำเป็นปัดฝุ่นข้างหลัง
แล้วจัดผ้านุ่งเสียใหม่ เดินสกดรอยพระเถระออกจากพุ่มไม้มายืนอยู่
ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง, พระเถระผู้เป็นสหายเห็นเหตุการณ์นี้จึงเกิด
ความโทมนัสคิดว่า ความเยื่อใยที่ติดตามกันมาเป็นเวลานานกับภิกษุนี้
ของเรามาฉิบหายเสียแล้วในบัดนี้ ถ้าหากเรารู้เช่นเห็นชาติอย่างนี้
เราจะไม่ทำความคุ้นเคยกับภิกษุนี้ให้เนิ่นนานถึงเพียงนี้. พอพระเถระ
นั้นมาถึงเท่านั้นก็พูดว่า เชิญเถอะอาวุโส นี่บาตรจีวรของท่าน
เราไม่เดินทางเดียวกันกับสหายเช่นท่าน. ครั้นได้ฟังถ้อยคำนั้น

หทัยของภิกษุผู้มีความละอายนั้น เหมือนกับถูกหอกคมทิ่มแทงเอา
แล้วฉะนั้น แต่นั้นท่านจึงกล่าวกะพระเถระนั้นว่า อาวุโส ท่านพูด
อะไรอย่างนี้ ผมไม่รู้อาบัติแม้เพียงทุกกฏมาตลอดกาลเพียงนี้ ก็
ท่านพูดว่าข้าพเจ้าเป็นคนชั่วในวันนี้ ท่านเห็นอะไรหรือ ? พระเถระ
นั้นกล่าวว่า จะประโยชน์อะไรด้วยกรรมอื่นที่เราเห็นแล้ว ท่าน
ออกมาอยู่ในที่เดียวกับผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างนี้ ๆ เพราะเหตุไร.
พระเถระนั้นจึงตอบว่า อาวุโส กรรมนั้นของข้าพเจ้าไม่มี, ข้าพเจ้า
มิได้เห็นผู้หญิงเห็นปานนี้ แม้ท่านจะกล่าวอยู่ถึง 3 ครั้ง. พระเถระ
อีกรูปหนึ่งก็มิได้เชื่อถ้อยคำ ถือเอาเหตุที่ตนเห็นแล้วเท่านั้นเป็น
สำคัญ ไม่เดินทางเดียวกับพระเถระนั้น ไปเฝ้าพระศาสดาโดยทางอื่น.
แม้ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ไปเฝ้าพระศาสดาโดยทางอื่นเหมือนกัน.
แต่นั้นเวลาภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถ ภิกษุนั้นจำภิกษุนั้นได้ใน
โรงอุโบสถจึงกล่าวว่า ในโรงอุโบสถนี้มีภิกษุลามกชื่อนี้ เราไม่
กระทำอุโบสถร่วมกับภิกษุนั้น จึงออกไปยืนอยู่ข้างนอก. ภุมมเทวดา
คิดว่าเราทำกรรมหนักแล้ว จึงแปลงเป็นอุบาสกแก่ไปหาภิกษุนั้น
กล่าวว่า เหตุไรเจ้ากูจึงมายืนอยู่ในที่นี้. พระเถระกล่าวว่า อุบาสก
ก็ภิกษุลามกเข้ามายังโรงอุโบสถนี้ อาตมาจะไม่ทำอุโบสถร่วมกับ
ภิกษุลามกนั้นจึงออกมายืนอยู่ข้างนอก. อุบาสกแก่นั้นกล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า อย่าถืออย่างนั้นเลย ภิกษุนี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ผมคือ
ผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้น ผมแลเห็นความดีความละอายและความไม่
ละอายกระทำกรรมแล้วด้วยคิดว่า ความไมตรีของพระเถระนี้มั่นคง
หรือไม่มั่นคง ก็เพื่อทดลองท่านทั้งหลายดู ภิกษุนั้นถามว่า สัปบุรุษ

ก็ท่านเป็นใคร อุบาสกแก่ตอบว่า ผมเป็นภุมมเทวดาเจ้าค่ะ. เทวบุตร
ทั้งที่ยืนกล่าวอยู่ด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์หมอบลงแทบเท้าของ
พระเถระกล่าวว่า ขอจงอดโทษนั้นแก่ข้าพเจ้า พระเถระไม่รู้เรื่อง
โปรดทำอุโบสถเถิด วิงวอนให้พระเถระเข้าไปสู่โรงอุโบสถแล้ว
พระเถระนั้นกระทำอุโบสถในที่เดียวกันก่อน แล้วก็อยู่ในที่เดียวกัน
กับพระเถระนั้น ด้วยอำนาจแห่งการผูกไมตรีอีกด้วยแล. กรรม
ของพระเถระนี้ท่านมิได้กล่าวไว้ ส่วนภิกษุผู้ถูกโจทย์บำเพ็ญ
วิปัสสนาต่อ ๆ มาได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.
ภุมมเทวดาก็ไม่พ้นภัยในอบายตลอดพุทธันดรหนึ่ง เพราะ
ผลของกรรมนั้น แต่ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ตามสมควรแต่กาล โทษ
ที่คนอื่นจะเป็นผู้ใดก็ตามกระทำ ก็ตกอยู่แก่เขาเท่านั้น ท่านบังเกิด
ในครอบครัวพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา
พวกของท่านตั้งชื่อท่านว่า ธานมาณพ, ธานมาณพนั้นเจริญวัยแล้ว
เรียนไตรเพท ในเวลาแก่ฟังธรรมของพระศาสดาได้ศรัทธาแล้ว
บวช ตั้งแต่วันที่ท่านบวชแล้ว หญิงผู้แต่งตัวคนหนึ่ง เมื่อท่านเข้า
บ้าน ก็เข้าไปกับท่านด้วย เมื่อออกก็ออกด้วย แม้เมื่อเข้าวิหาร
ก็เข้าด้วย แม้เมื่อยืนก็ยืนอยู่ด้วยดังนั้นย่อมปรากฏว่า ติดพันอยู่
เป็นนิตย์อย่างนี้ พระเถระก็ไม่เห็น แต่ด้วยผลของกรรมเก่าของ
พระเถระนั้น หญิงนั้นจึงปรากฏแก่คนอื่น ๆ หญิงทั้งหลายที่ถวาย
ข้าวยาคู และภิกษาในบ้านก็ทำการเย้ยหยันว่า ท่านเจ้าขา ข้าวยาคู
กระบวยหนึ่งนี้ สำหรับท่าน อีกกระบวยหนึ่งนี้ สำหรับเพื่อนหญิง
ของท่าน พระเถระจึงมีความเดือดร้อนรำคาญอย่างใหญ่ สามเณร

และภิกษุหนุ่ม ต่างแวดล้อมท่าน แม้ไปวิหารก็ทำการหัวเราะเยาะ
ว่า พระธานะเป็นคนชั่ว. (ธาโน โกณฺโฑ ชาโต)
ภายหลังท่านมีชื่อว่า โกณฑธานเถระ เพราะเหตุนั้นนั่นแล
พระเถระพยายามแล้วพยายามเล่า เมื่อไม่อาจอดกลั้นความเย้ยหยัน
ที่พวกสามเณรและภิกษุหนุ่มเหล่านั้นกระทำได้ ก็เกิดความบุ่มบ่าม
ขึ้นกล่าวว่า อุปัชฌาย์ของท่านซิชั่ว อาจารย์ของท่านซิชั่ว ครั้งนั้น
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดาว่า พระกุณฑธานะ
กล่าวหยาบอย่างนี้ ๆ กับภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย พระ-
ศาสดาให้เรียกภิกษุนั้นมา ตรัสถามว่า "จริงหรือ ภิกษุ" เมื่อทูล
ว่าจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เหตุไรท่านจึงกล่าวอย่างนั้น
พระเถระทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ก็ไม่อาจอดกลั้นการเสียดสี
อยู่เป็นประจำ จึงกล่าวอย่างนั้น พระศาสดาตรัสว่า ตัวท่านไม่อาจ
ใช้กรรมที่ทำไว้ในปางก่อนให้หมดไป จนถึงทุกวันนี้ ต่อไปนี้ท่าน
อย่ากล่าวคำหยาบ เห็นปานนั้นน่ะภิกษุ ดังนี้แล้ว ตรัสว่า
มโวจ ผรุสํ กญฺจิ วุตฺตา ปฏิวเทยฺยุ ตํ
ทุกฺขา หิ สารมฺกถา ปฏิทณฺฑา ผุเสยฺยุ ตํ
สเจ น เทสิ อตฺตานํ กาส อุปหโต ยถา
เอส ปตฺโตสิ นิพฺพานํ สารมฺโภเต น วิชฺชตีติ


ท่านอย่ากล่าวคำหยาบกะใคร ๆ
ผู้ที่ท่านกล่าวแล้ว ก็จะโต้ตอบท่าน
ด้วยว่า ถ้อยคำที่แข็งดีกัน นำทุกข์มาให้

ผู้ทำตอบ ก็พึงประสบทุกข์นั้น
ท่านไม่ยังตนให้หวั่นไหว ดุจกังสดาล
ถูกเลาะขอบอกแล้ว ท่านนั้นก็จะ
เป็นผู้ถึงพระนิพพาน ความแข็งดีก็จะ
ไม่มีแก่ท่าน ดังนี้.

ก็และบุคคลทั้งหลาย กราบทูลความที่พระเถระสนเที่ยวไป
กับมาตุคามนี้ แด่พระเจ้าโกศล พระราชาส่งอำมาตย์ไปว่า พนาย
จงไปสืบสวนดู แม้พระองค์เองก็เสด็จไปยังที่อยู่ ของพระเถระนั้น
พร้อมด้วยราชบริพารเป็นอันมาก ประทับยืนดูอยู่ ณ ที่สมควร
ข้างหนึ่ง ขณะนั้นพระเถระกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ หญิงแม้นั้น ก็ปรากฏ
เหมือนยืนอยู่ในที่ไม่ไกลพระเถระนั้น พระราชาเห็นแล้วทรงดำริว่า
มีเหตุนี้หรือจึงเสด็จไปยังที่ ๆ หญิงนั้นยืนอยู่แล้ว เมื่อพระราชา
มาถึง หญิงนั้นก็เป็นเหมือนเข้าไปยังบรรณศาลาอันเป็นที่อยู่ของ
พระเถระ แม้พระราชาก็เสด็จเข้าไปบรรณศาลาพร้อมกับหญิง
นั้นทีเดียว ตรวจดูทุกแห่งก็ไม่เห็น จึงทำความเข้าพระทัยว่า นี้มิใช่
มาตุคาม เป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งของพระเถระ ที่แรกแม้มาถึง
ใกล้พระเถระ ก็ไม่ทรงไหว้พระเถระ ครั้นทรงทราบว่า เหตุนั้น
ไม่เป็นจริง จึงเสด็จมาไหว้พระเถระ ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วน
หนึ่งตรัสถามว่า พระคุณเจ้า ไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตบ้างหรือ
พระเถระทูลว่า เป็นไปได้ ขอถวายพระพร พระราชาตรัสว่า
ท่านผู้เจริญ โยมรู้เรื่องราวของพระคุณเจ้า เมื่อพระคุณเจ้าเที่ยว
ไปกับสิ่งที่ทำให้เศร้าหมองเห็นปานนี้ ชื่อว่าใครเล่าจักเลื่อมใส

ตั้งแต่นี้ไป พระคุณเจ้าไม่จำต้องไปในที่ไหน ๆ โยมจักบำรุงด้วย
ปัจจัย 4 พระคุณเจ้าอย่าประมาทด้วยโยนิโสมนสิการะเถิด แล้ว
ส่งภิกษาไปถวายเป็นประจำ พระเถระได้พระราชูปถัมภ์ เป็นผู้มี
จิตมีอารมณ์เดียว เพราะมีโภชนะสบาย เจริญวิปัสสนาบรรลุ
พระอรหัตตผลแล้ว ตั้งแต่นั้นไป หญิงนั้นก็หายไป.
นางมหาสุภัททา อยู่ในครอบครัวมิจฉาทิฏฐิในอุคคนคร
คิดว่า พระศาสดาจงทรงอนุเคราะห์เราจึงอธิษฐานุโบสถ เป็นผู้
ไม่มีกลิ่นคาว อยู่ปราสาทชั้นบน กระทำสัจจกิริยาว่าดอกไม้เหล่านี้
จงอย่าอยู่ในระหว่างทางเสีย จงกางกั้นเป็นเพดานในเบื้องบนแห่ง
พระทศพลเถิด ขอพระทศพลจงรับภิกษา ของเราพร้อมกับภิกษุ
500 รูป ด้วยสัญญานี้เถิด แล้วโยนดอกไม้ 8 กำไป ดอกไม้ก็ไป
กางกั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบนของพระศาสดาในเวลาแสดงธรรม
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็น เพดานดอกมะลินั้น ทรงรับภิกษา
ของนางสุภัททาด้วยจิตนั้นแหละ วันรุ่งขึ้นเมื่ออรุณขึ้น จึงตรัสสั่ง
พระอานนท์ว่า อานนท์ วันนี้เราจะไปภิกษาจาร ณ ที่ไกล จงอย่า
ให้สลากแก่พระปุถุชน จงให้แก่พระอริยะเท่านั้น พระเถระบอกแก่
ภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุ วันนี้พระศาสดาจักเสด็จภิกษาจาร ณ
ที่ไกล พระภิกษุปุถุชนจงอย่าจับสลาก พระอริยะเท่านั้นจงจับ
พระโกณฑธานเถระ กล่าวว่าผู้มีอายุ จงนำสลากมา แล้วเหยียด
มือออกไปก่อน เมื่อพระอานนทเถระกล่าวว่า ท่านพระศาสดาไม่ให้
ประทานสลากแก่ภิกษุเช่นท่าน สั่งให้ประทานเฉพาะภิกษุผู้เป็น
อริยะเท่านั้น เกิดความวิตกขึ้นจึงไปกราบทูลพระศาสดา พระ-
ศาสดาตรัสว่า เธอจงไปให้สลากแก่ภิกษุผู้บอกให้นำสลากมาเถิด

พระเถระจึงคิดว่า ถ้าไม่ควรให้สลากแก่พระกุณฑธานะ พระ-
ศาสดาจะพึงห้ามเธอ จักมีเหตุอย่างหนึ่งเป็นแท้ จึงรีบนำมาด้วย
คิดว่า จักให้สลากแก่พระกุณฑธานะ พระกุณฑธานะเถระ ก่อนที่
พระอานนทเถระมา เข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา ยืนอยู่
ในอากาด้วยฤทธิ์กล่าวว่า ท่านอานนท์ จงนำสลากมา พระศาสดา
ทรงรู้จักเรา พระศาสดาไม่ตรัสห้ามภิกษุเช่นเราผู้จับสลากได้ก่อน
แล้วเหยียดมือไปจับสลากแล้ว.
พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอรรถอุบัติเหตุเกิดเรื่อง
จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุ
ผู้จับสลากได้ที่ 1 ในศาสนาแล.


จบ อรรถกถาสูตรที่ 3

อรรถกถาสูตรที่ 4



ประวัติพระวังคีสเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 4 (เรื่องพระวังคีสะ) ดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ปฏิภาณวนฺตานํ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า
พระวังคีสะเถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณสมบูรณ์ ได้
ยินว่า พระเถระนี้เมื่อเข้าไปเฝ้าพระทศพลตั้งแต่คลองแห่งจักษุ
ก็กล่าวสรรเสริญคุณพระศาสดาอุปมากับพระจันทร์ อุปมากับ
พระอาทิตย์ กับอากาศ กับมหาสมุทร กับพระยาช้าง กับพระยา
มฤคสีหะ หลายร้อยหลายพันบท จึงเข้าเฝ้า เพราะฉะนั้น ท่านจึง
เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณ. ในปัญหากรรมของท่าน มี
เรื่องที่จะกล่าวความตามลำดับดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระเถระ
แม้รูปนี้ ถือปฏิสนธิในครอบครัวที่มีโภคสมบัติมาก ในกรุงหงสวดี
ไปวิหารฟังธรรมโดยนัยก่อนนั่นแล เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา
ภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณ จึง
กระทำกุศลกรรมแด่พระศาสดา กระทำความปรารถนาว่า ใน
อนาคตกาล แม้ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีปฏิภาณ
เป็นผู้อันพระศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว กระทำกุศลจนตลอดชีพ
เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็มาบังเกิด
ในครอบครัวพราหมณ์ กรุงสาวัตถี ญาติทั้งหลายขนานนามว่า